วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เทศกาลของประเทศเวียดนาม

ประเพณี
เนื่องจากคนเวียดนามส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากจีน ทั้งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนนับพันปี จึงได้รับอิทธิพลทั้งด้านความเชื่อและการดำรงชีวิตมาจากจีนไม่น้อย แม้ปัจจุบันชาวเวียดนามส่วนใหญ่จะไม่นับถือศาสนาใดอย่างเคร่งครัด แต่ประเพณีและวันหยุดสำคัญต่างๆ ก็ยังสะท้อนความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องการกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษเช่นเดียวกับคนจีน
          ตรุษเวียดนาม
          ตรุษเวียดนาม หรือ เต๊ดเวียนด๋าน แปลว่าเทศกาลวันต้นปีใหม่ โดยนับจากจันทรคติ ชาวเวียดนามเรียกสั้นๆว่า เต๊ด เป็นประเพณีเฉลิมฉลองที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี วันเต๊ดอยุ่ในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์  พิธีกรรมและประเพณีต่างๆ ที่กระทำกันในวันเต๊ดนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานการติดต่อสื่อสารและเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งระหว่างญาติมิตรระหว่างคนกับวิญญาณของบรรพบุรุษ และคนกับเทพเจ้าประจำบ้าน ช่วงเต๊ดยังถือเป็นช่วงต่อของเวลาที่สำคัญ เป็นโอกาสที่จะสร้างความหวังที่ดีงามให้แก่ตนเอง เช่น  การได้ยินเสียงสัตว์หลังเที่ยงคืนของวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือภายหลังตื่นขึ้นในตอนเช้าของวันใหม่ถ้าได้ยินเสียงไก่ตัวผู้ขัน ทำนายว่าปีนั้นจะเป็นปีที่ยุ่งยาก ถ้าได้ยินเสียงสุนัขต้องระมัดระวังการถูกขโมย เป็นต้น หนึ่งสัปดาห์ก่อนเต๊ด บางครอบครัวไปคารวะหลุมศพพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เพื่อทำความสะอาดหลุมฝังศพและจุดธูปเชิญวิญญาณของผู้ตายจากภพอื่นให้กลับมาเยี่ยมครอบครัว  ก่อนวันเต๊ด 1 วัน เรียกว่า ตั๊ดเนียน แปลว่าสิ้นปี เป็นการฉลองช่วงเวลาสุดท้ายในปีเก่าอย่างสนุกสนาน จนเมื่อเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่จะถือเป็นวันหลักที่สามีต้องอยู่กับสมาชิกในครอบครัว และญาติมิตรลูกหลานมารวมตัวกัน เด็กๆ จะได้รับการอวยพรจากผู้ใหญ่ เรียกว่า หมึ่งต่วย แปลว่า อวยพรอายุ เป็นการส่งความปรารถนาดีให้ประสบความสำเร็จอีกปี และก็รับการแจกเงินใส่ซองสีแดง สื่อความหมายว่าเงินทุนก้อนเล็กๆหรือขวัญถุง วันนั้นครอบครัวมาพร้อมหน้ากันหน้าแท่นหรือหิ้งบูชาบรรพบุรุษ แล้วเซ่นไหว้อาหารมื้อแรกสำหรับการกลับมาเยือนของบรรพบุรุษจะอยู่ตลอดช่วงเทศกาลเต๊ด หลังจากนั้นคนในครอบครัวจะกินร่วมกัน  วันที่สองของเต๊ดจะไปเยี่ยมอวยพรครอบครัวของภรรยาและเพื่อนสนิท เมื่อถึงวันที่สามจึงไปเยี่ยมคนอื่นๆ เช่น ครู เจ้านาย แพทย์ที่เคยรักษา เป็นตัน เย็นวันนี้เป็นวันที่บรรพบุรุษจากไป ชาวเวียดนามจึงเผากระดาษทองให้บรรพบุรุษนำติดตัวกลับไปใช่บนสวรรค์ ในช่วงเทศกาลเต๊ด คนที่มีข้อบาดหมางใจที่ทำให้ไม่สบายใจใดๆ ต้องทิ้งไป ห้ามพูดหยาบคาย ด่าทอ ร้องไห้ ให้พูดสิ่งที่ดี ไพเราะ
          เต๊ดจุงเวียน
          เต๊ดจุงเวียน (Tet Trung Nguyen) เป็นงานคล้ายกับงานสารทจีน เรียกอีกอย่างว่า สาโตยวองเญิน หรือเทศกาลโปรดผีเร่ร่อน จัดขึ้นในวันที่ 15 เดือน 7 ตามจันทรคติ เชื่อว่าวันที่วิญญาณร้ายขึ้นมาบนโลก จึงมีการทำทานให้วิญญาณเร่ร่อนโดยนำข้าวต้ม ถั่วคั่ว หรือกระดาษเงินกระดาษทอง นำไปวางไว้ในวัดหรือโคนต้นไทร หลังจากเสร็จพิธีจะมอบอาหารที่ใช้ไหว้ผีให้เด็กๆ หรือคนยากจน ส่วนกระดาษเงินกระดาษทองจะเผาเพื่อส่งให้วิญญาณเร่ร่อนในอีกโลก
          เต๊ดดวานเหงาะ
          เต๊ดดวานเหงาะ (Tet Doan Ngo) เป็นประเพณีที่จัดขึ้นกลางปี ของทุกครอบครัวเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย และปกป้องคนในครอบครัวจากโรคภัยไข้เจ็บ มีขึ้นในวันที่ 5 เดือน5ตามจันทรคติ ที่ต้องจัดขึ้นในช่วงนี้เนื่องมาจากเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูร้อน ซึ่งมีผู้คนจะเจ็บป่วยได้ง่าย  เทศกาลนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเต๊ดเซิวเบาะ (Tet Sao Bo) เซิวเบาะ แปลว่า หนอน หรือแมลง เนื่องจากเป็นวันที่ชาวไร่ชาวนาจะกำจัดแมลงเพื่อเริ่มปลูกพืชในฤดูกาลใหม่นั่นเอง ในวันนี้ชาวนาทุกคนตื่นแต่เช้า กินผลไม้ และข้าวเหนียวหมัก รวมถึงมีพิธีบวงสรวงในตอนเที่ยงที่ถือว่าเป็นเวลาของม้า(Ngo)ด้วย
          เต๊ดจุงทู
          เต๊ดจุงทู (Tet Trung Thu) หรือเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง คล้ายกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ของจีน ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน8 ตามปฏิทินจันทรคติ หรืออยู่ในช่วงเดือนกันยายน ในเทศกาลนี้ชาวเวียดนามจะจัดประกวดขนมแบ๋ญจุงทู (Banh Trung Thu) หรือ ขนมไหว้พระจันทร์ รูปร่างกลม ผิวหน้าประดับลวดลายสวยงาม ใส่ไส้ถั่วและผลไม้ แต่ละบ้านจะมีโคมไฟประดับเพื่อเฉลิมฉลอง มีขบวนแห่เชิดสิงโตและมังกร ซึ่งในขบวนนี้จะอนุญาตให้เด็กๆร่วมร้องเพลงเต้นรำไปด้วย ในช่วงที่เวียดนามยังอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส รัฐบาลฝรั่งเศสเกรงว่าหากปล่อยให้ชาวเวียดนามชุมนุมกันมากเข้าจะนำไปสู่การปฏิวัติ จึงไม่อนุญาตให้ผู้ใหญ่เข้าร่วมเต้นรำในขบวนแห่ของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง นับแต่นั้นมา เทศกาลนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เทศกาลของเด็ก
          เต๊ดห่านทึ้ก
          เต็ดห่านทึ้ก (Tet Han Thuc) เป็นอีกประเพณีหนึ่งที่เวียดนามได้รับมาจากจีน ทางภาคเหนือของเวียดนามโดยเฉพาะรอบๆเมืองฮานอย จะเฉลิมฉลองประเพณีนี้พร้อมกันในวันที่ 3 เดือน3 ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เดิมทีมีกฎว่าในวันนี้ห้ามจุดไฟเพื่อหุงอาหาร แต่ปัจจุบันชาวเวียดนามจะถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนและทำความสะอาดสุสานประจำตระกูล โดยจะทำ แบ๋ญโจย ขนมทำจากข้าวเหนียวสอดไส้น้ำตาลแดงนำไปต้มสุก และแบ๋ญไจ ขนมทำจากแป้งข้าวเหนียวสอดไส้ถั่วบด แช่ในน้ำเชื่อม โรยงา คล้ายบัวลอยไทย เป็นของไหว้บรรพบุรุษ


          เทศกาลตลาดนัดเคาวาย
          ชุมชนเคาวาย (Khau Vai) ตั้งอยู่ในเขตแหม่วหวาก อยู่ทางตอนเหนือสุดของจังหวัดห่าซาง เป็นชุมชนของเผ่าซั้ย (Giay) หนุ่ง (Nung) และเหมื่อง (Muong) เทศกาลตลาดนัดของชุมชนนี้จะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ในระยะเวลาประมาณ 3 วัน วันแรกของเทศกาลเป็นวันที่มีพิธีผลัดเปลี่ยนปฏิทินสู่ช่วงเวลาใหม่ของปี คนในชุมชนจะอาบน้ำแต่งตัวสวยงามตามฤกษ์ที่กำหนด นำตะเกียง กำยาน ดอกไม้ ผลไม้ ไปบูชาที่เจดีย์ สวดมนต์และขอพรให้ชีวิตในปีนี้ประสบแต่สิ่งดีๆ ในวันที่สองและสามของเทศกาลจะมีการถวายของบูชา ก่อกองทรายเพื่อโชคลาภ และสรงน้ำพระพุทธรูป นอกจากนี้ช่วงเวลาของเทศกาล ผู้คนจากท้องถิ่นที่ใกล้เคียงจะมารวมตัวกันซื้อขายสินค้าหลายประเภท มีการแสดงดนตรีและการละเล่นท้องถิ่น รวมถึงจัดแสดงงานศิลปะพื้นบ้านอีกด้วย
          เทศกาลลิม
          เทศกาลลิม (Lim) เป็นเทศกาลสำคัญในภาคเหนือของเวียดนาม ที่มีผู้เข้าร่วมนับล้านคน จัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ในเขตบั๊กนิญ ไม่ไกลจากกรุงฮานอยนัก เทศกาลนี้มีจุดเด่นที่บทเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่า กวานเหาะ (Quan ho) ซึ่งเป็นเพลงระลึกถึงชาวนาชาวไร่ ร้องโต้ตอบกันระหว่างผู้ขับชายหญิง ผู้ขับร้องที่มีอยู่หลากหลายกลุ่ม ทั้งบนเรือ ในแม่น้ำ บนเนินเขา และตามเจดีย์ที่นับถือในท้องที่นั้น นอกจากนี้ยังมาการละเล่นพื้นบ้านที่แปลกและน่าสนใจหลายอย่าง เช่น การแข่งทอผ้าพร้อมกับขับร้องบทเพลงกวานเหาะไปด้วย และการขีดวงกลมบนพื้นและนำกบเป็นๆมาปล่อยไว้ และให้เด็กแข่งกันดูแลไม่ให้กบกระโดดออกมานอกวง โดยต้องเลี้ยงเด็กและสุมไฟในเตาไปด้วย หากกบกระโดดออกนอกวงได้ หรือไฟในเตาดับ หรือเด็กร้องให้จะถือว่าแพ้ไป เป็นต้น
          เทศกาลบูชากษัตริย์หุ่ง
          เทศกาลบูชากษัตริย์หุ่ง (Le hoi den Hung) เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวเวียดนาม และเป็นวันหยุดราชการมาตั่งแต่ต้นปี ค.ศ.2007 จัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน เพื่อระลึกถึงและแสดงความเคารพต่อกษัตริย์หุ่ง กษัตริย์องค์แรกตามตำนานของเวียดนาม ที่ว่ากันว่าเป็นผู้ริเริ่มสอนให้ชาวเวียดนามปลูกข้าว การเฉลิมฉลองกินเวลาหลายวัน ณ วันของกษัตริย์หุ่ง บนเขาเหงียหลิง มีการปล่อยจะมีทั้งการประดับธงตามถนนสายที่มุ่งสู่ภูเขาเหงียหลิง มีการปล่อยบอลลูนและโคมไฟลอยในคืนก่อนวันพิธีหลัก ซึ่งตรงกับวันที่ 10 เดือน 3 ตามจันทรคติ ในวันนั้นจะมีผู้แสวงบุญจากทั่วทุกทิศมารวมตัวกัน นอกจากจะมีพิธีบูชาวิญญาณของกษัตริย์ในอดีตแล้ว ยังมีขบวนแห่งช้าง การแสดงเชิดมังกร และขบวนพาเหรดจากแต่ละท้องถิ่นด้วย
         

          ประเพณีชนควาย
          เป็นประเพณีท้องถิ่นของเมืองโด่เซิน (Do son) ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศริมทะเลไม่ไกลจากกรุงฮานอย มีตำนานว่าผู้อาวุโสที่สุดในหมู่บ้านฝันเห็นควายสองตัวต่อสู้กันจนเกิดคลื่นสูงในท้องทะเล เป็นนิมิตแสดงให้เห็นว่าปีนั้นจะทำประมงได้ผลดี จากนั้นจึงมีการแข่งขันชนควายเรื่อยมาทุกปีเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนถึงวันแข่งขัน ชาวบ้านจะเลือกเฟ้นควายที่มีลักษณะดีร่างกายกำยำแข็งแรงมาฝึกฝนอย่างเข้มงวด และมีการแข่งคัดเลือกหลายรอบก่อนจะเหลือ 16 ตัวสุดท้ายเข้าแข่งขันในวันเทศกาล ก่อนเริ่มการแข่งขันจะมีการแสดงระบำธงของหนุ่มสาวในท้องที่ จากนั้นจึงจะเป็นการแข่งชนควายที่ดุเด็ดเผ็ดมัน ควายตัวใดหันหลังแล้ววิ่งหนีไปก่อนจะถือว่าแพ้ ส่วนตัวที่ชนะเลิศ เจ้าของควายจะได้รับรางวัลมากมาย ก่อนที่ควายจะถูกเชือดเพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าแห่งน้ำและนำเนื้อควายมาลี้ยงฉลอง
          ประเพณีบูชาจูด่งตื่อ
          เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นช่วงปลายเดือนเมษายน โดยมีศูนย์กลางที่วัดชุมชนดาฮว่า ใกล้กรุงฮานอย มีจุดประสงค์เพื่อบูชาจูด่งตื่อ (Chu Dong Tu) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูกของเวียดนาม วันงานชาวเวียดนามจะใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส มีขบวนการแห่เชิดมังกรตัวใหญ่ที่ต้องใช้คนนับสิบช่วยกันเชิด มีการร้องรำทำเพลงทั้งตามถนนและบนเรือในแม่น้ำแดง ชาวเวียดนามจะตักน้ำจากในแม่น้ำนั้นเพื่อนำไปชะล้างทำความสะอาดรูปเคารพในวัดอีกด้วย
          เทศกาลจั่วเฮือง
          ทุกๆปี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวนับแสนคนจะเดินทางไปเฉลิมฉลองช่วงปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติที่จั่วเฮือง หรือเจดีย์น้ำหอม ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเฮืองติ้จ จุดเด่นของเทศกาลนี้ไม่ใช่การร้องรำ หรือการละเล่นพื้นบ้าน แต่เป็นการเดินทางจาริกแสวงบุญ เยี่ยมชมธรรมชาติ อาราม และเจดีย์ นับร้อยระหว่างเส้นทางสู่จั่วเฮืองเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เทศกาลนี้มีระยะเวลาถึง 3 เดือน ถือเป็นเทศกาลที่ยาวนานที่สุดของเวียดนามและได้รับการยอมรับจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกด้วย
          เทศกาลจั่วเถ่ย
          เป็นเทศกาลทางศาสนาพุทธที่จัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ในบริเวณใกล้เคียงกับจั่วเถ่ย (Chua thay) หรือวัดเถ่ย ซึ่งอยู่ใกล้กับภูเขาส่านเซิน เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงด่าวแห่ญ พระสงฆ์ที่ชาวเวียดนามเลื่อมใสมาก เนื่องจากท่านมีชื่อเสียงในด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วย และเป็นผู้ริเริ่มการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งเป็นจุดเด่นของเทศกาลนี้มาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงเวลานี้ ชาวเวียดนามจะเดินทางมาที่จั่วเถ่ยเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดูการแสดงหุ่นกระบอกและเที่ยวชมภูเขาส่ายเซิน
          เทศกาลชมจันทร์
          เทศกาลชมจันทร์ หรือ อ๊อกออมบก (Oc Om Boc) เป็นวันหยุดในวันเพ็ญเดือน10 ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งเริ่มเข้าฤดูแล้ง ชาวเวียดนามในชุมชนต่างๆจะรวมตัวกันที่ลานหน้าเจดีย์ วางผลไม้ต่างๆและขนมบนโต๊ะไว้เป็นของบูชา ตกแต่งด้วยลำไม่ไผ่ยาวประดับดอกไม้ใบไม้ เมื่อถึงเวลาพระจันทร์ขึ้น ชาวเวียดนามจะนั่งบนพื้น สวดมนต์ขอพรดวงจันทร์ให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ หลังพิธีการจะมีการถามตอบ และให้พรเด็กๆ รวมถึงร้องรำฉลองจนถึงเวลาดึกดื่น
          เทศกาลโบหม่า
          เทศกาลโบหม่า (Bo Mai) เป็นเทศกาลของกลุ่มชาติพันธุ์เวียดนามในเขตที่ราบสูงตอนกลางประเทศ เช่น เอเด (E de) สาซาย (Gia Rai) และบานา (Ba Na) มีประเพณีการเคารพญาติพี่น้องที่เสียชีวิตต่างจากภูมิภาคอื่น โดยจะคอยดูแลและกราบไหว้บูชาสุสาน ในช่วงเวลาสาม ห้าหรือเจ็ดปี หลังจากผู้ตายจากไปเท่านั้น ในเทศกาลนี้จะเฉลิมฉลองใหญ่โตถึงขั้นล้มวัวหลายตัว มีสุราอาหารครบ มีธรรมเนียมทำลายสุสานเก่าและสร้างขึ้นใหม่ ตามความเชื่อว่าเป็นการปลดปล่อยวิญญาณผู้ตายให้ได้ไปเกิดขึ้นใหม่ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าหากผ่านธรรมเนียมนี้ไปแล้ว สามีหรือภรรยาของผู้ตายจะสามารถแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่อีกด้วย
          งานแข่งช้าง
          เป็นเทศกาลสำคัญในแถบที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนามจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อระลึกถึงประวัติศาสตร์การสู้รบกับชนกลุ่มน้อยในพื้นที่นี้ ในช่วงงานจะมีการให้ช้างพักงานปกติเพื่อเตรียมตัวเข้าแข่งขันในสนามแข่งใกล้หมู่บ้าน บวนโดน (Buon Don) สนามแข่งกว้างขวางพอให้ช้าง 10 เชือก เดินเรียงกันได้ และมีความยาวเวียดนามในท้องถิ่นจะสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสมาร่วมชมการแข่งขัน และมีการฉลองยิ่งใหญ่ให้แก่ทั้งคนและช้างผู้ชนะ
          เทศกาลโก่ลวา
          จัดขึ้นทุกปีในช่วงหลังเทศกาลเต๊ดเวียนด๋าน (Tet Nguyen Dan) โดยมีจุดประสงค์เป็นการบูชาอานเซืองเวือง กษัตริย์ในตำนานของเวียดนาม ผู้พ่ายแพ้ในการศึกเพราะถูกพระธิดาทรยศ ในเทศกาลนี้ยังจะมีการแห่รูปปั้นของกษัตริย์อานเซืองเวีองพระธิดา มีการตกแต่งวัดโก่ลวา ในกรุงฮานอยด้วยธงหลากสีที่เป็นสัญลักษณ์ของธาตุทั้ง5 ชนิดตามความเชื่อโบราณ (เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ และดิน) มีการแสดงดนตรี งิ้ว และแต่งองค์ทรงเครื่องม้าที่ใช้ในพิธีด้วยอานที่ตกแต่งอย่างงดงาม
         


นโยบายปฏิรูป โด่ยเหม่ย Doi Moi ค.ศ.1986

นโยบายปฏิรูป โด่ยเหม่ย Doi Moi ค.ศ.1986
          จากสหภาพความยากลำบากทางเศรษฐกิจตั่งแต่ปี ค.ศ.1975 เป็นต้นมา ประกอบกับในช่วง ค.ศ.1980 สหภาพโซเวียตประกาศนโยบายเปิดประเทศ (Glasnost and Perestroika) ซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวความคิดของเหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามด้วยเช่นกัน
          ปีค.ศ.1986 เวียดนามจึงประกาศนโยบายปฏิรูปโด่ยเหม่ย (Doi moi Renovation) ในภาษาเวียดนาม โด่ยแปลว่า เปลี่ยนเหม่ยแปลว่า ใหม่) และเริ่มปฏิรูปตลาดเสรี โดยยังควบคุมกิจการของรัฐไว้ แต่เริ่มผ่อนปรนอนุญาตให้ประชาชนสามารถประกอบกิจการดำเนินธุรกิจการค้าตัวเองได้ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วง ค.ศ.1989-ค.ศ.1991 ทำให้เวียดนามต้องทบทวนและปรับนโยบายเปิดประเทศมากขึ้น โดยหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบการตลาดภายใต้ระบบสังคมนิยมต่อมาในปี ค.ศ. 1964 และในปี ค.ศ.1995 เป็นปีที่เวียดนามเข้าเป็นสมาชิก ASEAN ชาวเวียดนามที่อพยพไปอยู่ประเทศตะวันตกที่คนเวียดนาม เรียกว่า เวียดเกี่ยว(Viet Kieu – Oversea Vietnamese)กลับมาเป็นกำลังสำคัญหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจจากเงินที่ส่งกลับเข้ามาให้ญาติพี่น้องที่ยังอยู่ในเวียดนามปีละหลายพันล้านเหรียญ และบางคนกลับมาสร้างธุรกิจด้วยเงินทุนความรู้และประสบการณ์จากโลกตะวันตกเวียดนามได้มีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ในปี ค.ศ.2000โดยเริ่มต้นมีทรัพย์จดทะเบียนเพียง 4-5 หลักทรัพย์และไม่ได้ความสนใจจากนักลงทุน แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลเริ่มนำกิจการของรัฐทยอยเข้าตลาด (อุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เดิมล้วนเป็นกิจการของรัฐ เช่น ผลิตท่อน้ำ ผลิตรองเท้าผลิตภัณฑ์นม ประมง เป็นต้น) และบริษัทเอกชนต่างๆเข้าจดทะเบียนมากขึ้นตลาดหลักทรัพย์จึงพัฒนาขึ้นมาอย่างเรื่อยๆเข้าจนถึงช่วงที่ดัชนีตลาดพุ่งทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงในปีค.ศ.2006 อย่างท่วมท้น ปีค.ศ.2006 เป็นปีที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC และเป็นปีที่สมาชิก WTO (World Trade Organization) อีกด้วย


ประวัติศาสตร์เวียดนาม ค.ศ.1954-ค.ศ.1975

สงครามเวียดนาม ค.ศ.1954-ค.ศ.1975
ต่อมาปี ค.ศ.1955เบ๋าได่ต้องสละอำนาจอีกครั้ง โงดินห์เยียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ สหรัฐเริ่มเข้ามาให้การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจ ทางฝ่ายเวียดนามเหนือ ปี ค.ศ.1960 เลหยวน(Le Duan)ได้รับการเลือกเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เสนอให้ทำสงครามเพื่อเป็นการรวมประเทศโดยเวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนจากทั้งจีนและรัสเซีย
ทางเวียดนามในช่วงระหว่างปีค.ศ.1963-ค.ศ.1967 เกิดความไม่มีเสถียรภาพในรัฐบาลอย่างมาก ไม่มีรัฐบาลใดสามารถอยู่ได้นาน ในขณะที่กองกำลังเวียดนามเหนือสามารถรุกเข้ามาเรื่อยๆในที่สุดปี ค.ศ.1965 สหรัฐตัดสินใจส่งกองทหารเข้ามาและเริ่มเปิดฉากโจมตีทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือ เพื่อหยุดยั้งการแผ่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ภายใต้ชื่อทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory ที่เชื่อว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะแผ่ขยายไปทีละประเทศต่อๆกันเหมือนการล้มของโดมิโน)
การสู้รบระหว่างสหรัฐและเวียดนามเหนือหรือที่เรียกกันว่า เวียดกง”(Viet Cong–Viet Communist)เป็นไปอย่างยาวนานโฮจิมินห์เสียชีวิตในปี ค.ศ.1969 ก่อนที่จะได้เห็นการรวมประเทศต่อมาประชาชนชาวอเมริกันเดินขบวนประท้วงรัฐบาลเรียกร้องสันติภาพ ขอให้สหรัฐถอนตัวจากสงครามในเวียดนาม ในที่สุดสหรัฐต้องถอนกำลังทหารกลับทั้งหมดในปีค.ศ.1973 หลังจากนั้นเวียดนามใต้จึงไม่สามารถต้านทานกำลังฝ่ายเหนือได้อีกต่อไป จนกรุงไซ่ง่อนถูกยึดได้เมื่อ 30 เมษายน 1975 และวันที่ 30 เมษายน ของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ เรียกว่าวันเสรีภาพ (Liberation Day)

เวียดนามหลังรวมประเทศเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam)อย่างที่ใช้ปัจจุบัน เมืองหลวง คือ ฮานอย ปกครองภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การปกครองระบอบสังคมนิยม ขณะนั้นประชาชนอยู่กันอย่างลำบากมากภายใต้ระบบปันส่วนอย่างเดียวกันที่ใช้ในรัสเซียและจีนในตอนนั้น จึงมีชาวเวียดนามอพยพหนีออกจากประเทศจำนวนมาก ทั้งทางบกและทางเรือ (Refugee – Boat People)ไ แม้ว่าต้องเสี่ยงภัยจากการถูกปล้น การชิงทรัพย์และทำร้ายจากโจรสลัดในทะเลเพื่อหลบหนีไปยังไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง หรือฟิลิปปินส์ เพื่อขอลี้ภัยเข้าไปอยู่ค่ายผู้อพยพในประเทศเหล่านั้น ก่อนที่จะย้ายไปประเทศ 3 อย่าง สหรัฐ แคนาดา ฝรั่งเศส หรือ ออสเตรเลียต่อไป เวียดนามที่อพยพไปยังถิ่นในต่างประเทศเรียกว่า เวียดเกี่ยว (Viet Kieu – Oversea Vietnamese)

ประวัติศาสตร์เวียดนามช่วงค.ศ. 1945-1954

สงครามอินโดจีน(ค.ศ.1945-ค.ศ.1954)
          ต้นปี ค.ศ.1945 ญี่ปุ่นยึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จขับไล่ฝรั่งเศสออกจากอินโดจีน กษัตริย์เป๋าได่ ประกาศให้เวียดนามเป็นเอกราชแต่ในความเป็นจริงยังอยู่ภายใต้อำนาจของญี่ปุ่น โดยในเดือนสิงหาคม 1945 เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนต่อพันธมิตรหลังจากถูกระเบิดปรามาณูที่ฮิโรชิม่าและนางากิ จึงเกิดสุญญากาศทางอำนาจเวียดนาม เวียดมินห์ทำการปฏิวัติที่เรียกว่า การปฏิวัติเดือนสิงหาคม (August Revolution) เข้ายึดที่ทำการรัฐบาลกษัตริย์เบ๋าได่ทรงสละอำนาจ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1945 โฮจิมินห์ในฐานะผู้นำเวียดมินห์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ประกาศเวียดนามเป็นเอกราชเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 เรียกชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งเวียดนาม (Democratic public of Vietnam)วันที่ 2 กันยายน จึงถือเป็นวันชาติของเวียดนามและวันหยุดราชการของทุกปี  อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อกองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศส เข้าปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นในเวียดนามใต้ ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามามีอิทธิพลในเวียดนามใต้อีกครั้ง แต่ตระหนักดีว่าระบบอาณานิคมแบบเดิมล่มสลาย จึงใช้วิธีการใหม่สร้างเป็นรัฐกึ่งเอกราชที่อยู่ในกลุ่มสหพันธ์ของฝรั่งเศส (French Union) โดยมีกษัตริย์เบ๋าได่เป็นประมุขรัฐ
          ในปีค.ศ.1947 จึงเริ่มเกิดสงครามเต็มรูปแบบระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ และทำสงครามต่อมาอย่างยืดเยื้อยาวนาถึง 8 ปี ในที่สุดเวียดมินห์ก็สามารถเอาชนะฝรั่งเศสได้อย่างราบคาบที่ศึกเดียนเบียนฟูในปี ค.ศ.1954 จากนั้นกองกำลังเวียดมินห์ทำการรุกต่อเพื่อรวมประเทศจึงต้องสู้รรบกันเองระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ จนกระทั่งสุดท้ายต้องมีการเจรจาสันติภาพเจนีวา(Ganeva Accord) ซึ่งมีมติให้แบ่งประเทศเป็นสองส่วนที่เส้นขนานที่17 แบ่งเป็นเวียดนามเหนือซึ่งมีโฮจิมินห์เป็นผู้นำ และเวียดนามใต้มีกษัตริย์เบ่าได่เป็นประมุข และมีโงดินเยียม(Ngo Dinh Diem)เป็นนายกรัฐมนตรี


ประวัติศาสตร์เวียดนาม(ค.ศ.1528-ค.ศ.1802)

ยุคแห่งการแบ่งแยก (ค.ศ.1528-ค.ศ.1802)
          ปี ค.ศ.1527 ได่เวียดก็ถูกแยกออกเป็น2ฝ่าย ฝ่ายเหนือราชวงศ์เล ถูกชิงอำนาจโดยขุนพลตระกูลหมัก ตั้งเป็นราชวงศ์หมัก ส่วนกลุ่มราชวงศ์เลเดิมถอยหนีย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทางใต้ของได่เวียดจนกระทั่งปี ค.ศ.1592 ราชวงศ์หมักก็พ่ายแพ้ต่อฝ่ายราชวงศ์เล ภายใต้การนำของขุนนางตระกูลจริน (Thinh) อาณาเขตตอนเหนือของได่เวียด ถึงแม้จะยังมีกษัตริย์ราชวงศ์เลปกครองอยู่ แต่อำนาจที่แท้จริงจึงตกอยู่ภายใต้การครอบงำของตระกูลจริน
          ปี ค.ศ. 1600 ตระกูลเหวียนซึ่งเดิมเคยอยู่ร่วมฝ่ายราชวงศ์เล ร่วมกับตระกูลจรินแต่เกิดความไม่ไว้วางใจกันระหว่างทั้งสองตระกูลเหวียนและจริน ตระกูลเหวียนจึงแยกออกไปปกครองอาณาเขตตอนใต้ของได่เวียด(ตอนกลางของเวียดนามปัจจุบัน)ประกาศตัวเป็นกษัตริย์มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองเว้(Hue) ปกครองโดยอิสระโดยไม่ขึ้นกับตระกูลจริน ทั้งสองตระกูลเหวียนและจรินทำสงครามรบพุ่งกันเป็นเวลานานตั่งแต่ ค.ศ.1627-1672 จึงยุติสงคราม และแยกดินแดนปกครองออกเป็นสองส่วนและอยู่ร่วมกันปราศจากการสู้รบกันต่อมาอีกประมาณ 100 ปี ในช่วงเวลานั้น ตระกูลเหวียดได้รบขยายอาณาเขตลงมาทางใต้ ครอบครองดินแดนของอาณาจักรจามปาที่เหลือ และขยายต่อลงมาจนถึงแถบลุ่มแม่น้ำโขง คือ บริเวณเมืองไซ่ง่อนในปัจจุบัน
          ปี ค.ศ. 1771 เกิดกบฏไตเซิน (Tay Son Rebrllion) โดยมีผุ้นำ คือ 3 พี่น้องตระกูลเหวียน (ซึ่งได้มีความเกี่ยวพันกับตระกูลเหวียนที่อยู่ในอำนาจขณะนั้น) มีเหวียนเว่ (Ngyuyen)เป็นผู้นำเข้ายึดอำนาจจากกลุ่มตระกูลเหวียนผู้มีอำนาจในปี ค.ศ. 1776 ทายาทตระกูลเหวียนผู้อยู่ในอำนาจเดิมชื่อว่า เหวียนอ๋าน(Nguyan Anh)หลบหนีมายังประเทศสยาม และขอกำลังช่วยเหลือจักรจากพระเจ้าตากสินกลับมาทำการรบ แต่ไม่อาจเอาชนะเหวียนเว่ได่ (พระเจ้าตากครองราชย์ช่วงปีค.ศ.1767-ค.ศ.1782) จากนั้นปี ค.ศ. 1786 เหวียนเว่ นำกองทัพรุกขึ้นทำสงครามกับตระกูลจรินทางเหนือ เข้ายึดเมืองทางลอง (ฮานอย) สำเร็จ และประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิ แต่ก็ถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา
          ราชวงศ์สุดท้าย (ค.ศ. 1802-ค.ศ. 1945)  ในช่วงนั้นอาณาจักรได่เวียดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มไต่เซิน ปกคอรงภาคกลาง จักรพรรดิเหวียนเว่ปกครองภาคเหนือ ส่วนทางใต้เหวียนอ๋านทายาทตระกูลเหวียนพยายามดิ้นรนต่อสู้ ในที่สุดสามารถเข้ายึดครองยาดินห์ Gai Dinh (เมืองไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ในปัจจุบัน) เป็นที่มั่นได้สำเร็จในปี ค.ศ.1788 จากนั้นจึงยกทัพขึ้นทำศึก และสามารถเข้ายึดครองทางลอง (ฮานอย) เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศเวียดนาม อย่างที่เรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน ราชวงศ์เหวียนเป็นราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนามในการปกครองประเทศในระบบกษัตริย์ นับแต่พระเจ้ายาลองจนถึงกษัตริย์องค์สุดท้าย คือ กษัตริย์เป๋าได่ (Bao Dai)รวม143 ปี ตั่งแต่ ค.ศ. 802-ค.ศ.1945 รวมกษัตริย์ 13 พระองค์
          ตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส  ชาติตะวันตกเริ่มเข้าในเวียดนามตั่งแต่ช่วงศตวรรษที่ 1600 ด้วยการค้าและเผยแพร่ศาสนา พระเยซูอิทชาวฝรั่งเศส Alexandre de Rhodes ได้เข้ามาพัฒนาภาษาเวียดนามที่เดิมใช้ตัวอักษรจีน มาใช้ตัวอักษรโรมันแทน ในสมัยราชวงศ์เหวียดยึดมั่นในนระบบของขงจื้อและต่อต้านตะวันตกจึงมีเหตุขัดแย้งทางศาสนาเกิดขึ้น และมีเหตุให้บาทหลวงชาวฝรั่งเศสถูกประหารชีวิต
          ในปี ค.ศ. 1858 ฝรั่งเศสจีนส่งเรือรบเข้าโจมตีเมืองทูเรน (Tourane)เมืองดานัง Da nang ปัจจุบัน) จนเสียหายแต่ยังไม่สามารถยึดเมืองได้ จึงมุ่งลงใต้เข้ายึดเมืองยาดินห์ได้สำเร็จ ต่อมาในปีค.ศ.1859-1867 คือขยายเขตเข้ายึดครองอีก 6 เมือง ทางใต้ตั้งเป็นเขตอาณานิคมเรียกว่า โคชิน-ไชนน่า (Cochin China)และต่อมาฝรั่งเศสก็สามารถเข้ายึดครองเวียดนามทั้งหมดโดยตอนใต้ตั้งเป็นอาณานิคม ส่วนตอนกลางตั้งเป็นรัฐอารักขา ซึ่งยังมักกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนเป็นประมุขในนามและตอนเหนือปกครองโดยผู้ว่าราชการชาวฝรั่งเศส อาณานิคมของฝรั่งเศสจึงถูกตั้งขึ้นในปีค.ศ.1887 โดยรวมทั้ง 3 ส่วนของเวียดนามเข้ากับกัมพูชาและรวมลาวเข้าด้วยกันด้วยในปีค.ศ. 1893 เรียกว่าสหภาพอินโดจีน (Union of Indochina) ในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคมนี้ฝรั่งเศสได้พัฒนาหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น ระบบการศึกษา พัฒนาการเกษตร พัฒนาระบบการเมือง ระบบถนน การสารธารณสุข มีการส่งออกสินค้าเกษตรมากมายแต่ผลประโยชน์ตกกับฝรั่งเศส ชาวเวียดนามผู้รักชาติพยายามต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพอย่างต่อเนื่อง แต่ฝรั่งเศสยังคงรักษาการควบคุมไว้ได้จนปี ค.ศ.1940 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2หลังจากญี่ปุ่นบุกเข้ายึดอินโดจีนได้แล้วแต่ยังอยู่ในการปกครองฝรั่งเศสเป็นรัฐบาลหุ่นเชิด






ประวัติศาสตร์เวียดนามช่วง (ค.ศ.1010-ค.ศ.1527)

ยุคทองแห่งประวัติศาสตร์(ค.ศ.1010- ค.ศ1527)
          เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์เล (former Le Dynasty)ราชสำนักจึงเลือกแม่ทัพลี้กงอ๋วน (Ly Cong Uan) ขึ้นครองราชย์บัลลังค์ลี้กงอ๋วนเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้คุมกำลังทหารมีโอกาสชิงราชบัลลังค์ได้นับตั่งแต่จักรพรรดิเลฮ่วนสวรรคต แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น จนที่สุดราชสำนักเห็นว่าท่านผุ้เหมาะสมที่จะอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ ลี้ไท้โต๋ (Ly Thai To)ในปีค.ศ.1010 สถาปนาราชวงศ์ลี้ เปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็นอาณาจักรเป็นได่เวียด  (Dai Viet) นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองในประวัติศาสตร์เวียดนาม ในยุคนี้ได้มีการวางรากฐานการพัฒนาประเทศอย่างสำคัญมากมาย ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองหวงเดิมที่ล้อมรอบด้วยภูเขาซึ่งเป็นป้อมปราการตามธรรมชาติ มายังเมืองหลวงใหม่คือ เมืองทางลอง (Thang Long)หรือ Long คือ หลงในภาษาจีนกลางแปลว่ามังกร ทาง Thang หมายถึงขึ้นหรือบินขึ้น อาจแปลว่ามังกรเหิร ปัจจุบัน คือ เมืองฮานอยนั่นเอง ฮานอยจะฉลอง 1,000 ปีในค.ศ.2010)ในช่วงเวลานั้น ทางลองเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเกษตรกรรม วัฒนธรรม และการค้าตามริมฝั่งแม่น้ำแดง
          จักรพรรดิลี้ไท้โต๋ ทรงมุ่งพัฒนาความแข็งแรงทางเศรษฐกิจมากกว่ากำลังทหารอย่างมนราชวงศ์ก่อนๆกษัตริย์ราชวงศ์ลี้ในยุคต่อมายังคงพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างทำนบกั้นน้ำและระบบชลประทานเพื่อการเกษตร ก่อตั้งโรงเรียนระดับสูง (เรียกได้ว่ามหาวิทยาลัย ตั้งขึ้นในปีค.ศ.1070) มีการสอบเข้ารับราชการ (สอบจองหงวน)จัดระบบภาษีใหม่ ส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีการสร้างวัดอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังควบคู่ไปกับสิทธิขงจื้อและเต๋า ในช่วงราชวงศ์ลี้มีสงครามใหญ่กับราชวงศ์ของจีน 2 ครั้งในปี ค.ศ.1075 และค.ศ. 1076bและรุกขยายดินแดนลงใต้สู่อาณาจักรจามปา วีรบุรุษผู้ทำการรบกับกองทัพจีน คือขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง คือ แม่ทัพ ลี้เทื่องเกียต (Ly Thong Kiet) การรบกับจีนต่างฝ่ายต่างไม่สามารถชนะต่อกันได้จึงหย่าศึกกันในที่สุด หลังจากนั้นอาณาจักรได่เวียดก็อยู่ต่อมาได้อย่างสันติสุข
          ราชวงศ์ลี้ปกครองได่เวียตตั้งแต่ ค.ศ.1010- ค.ศ.1225 มีกษัตริย์ 9 พระองค์ รวมเป็นเวลา 216 ปี ซึ่งนับเป็นราชวงศ์แรกที่สามารถดำรงอยู่เนื่องยาวนานจึงสามารถพัฒนาประเทศได้เป็นอันมาก ตอนปลายราชวงศ์ลี้เมื่อราชสำนักเริ่มอ่อนแอ ขุนนางที่มีอำนาจในขณะนั้น คือ จรั่นถูโด (Tran Thu Do) บีบบังคับกษัตริย์ให้ออกบวช แล้วยกเอาพระราชธิดาของกษัตริย์ พระองค์นั้นซึ่งมีพระชนมายุเพียง 7พรรษา ขึ้นเป็นราชินีแล้วจัดให้มีการอภิเษกกับหลานชายตนเอง ที่มีอายุ 8 ปี แลัวบังคับให้สละราชสมบัติให้กับหลานชายตนเอง จึงเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์ลี้ และเริ่มต้นราชวงศ์จรั่นโดยมีหลานชายของเขาเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์และดำรงราชวงศ์ต่อมา175 ปีมีกษัตริย์ 13 พระองค์ (ค.ศ. 1225-ค.ศ.1400)
          ในราชวงศ์จรั่น อาณาจักกรได่เวียดต้องทำสงครามต่อต้านการบุกรุกจากกองทัพมองโกลของกุบไล่ข่านอันเกรียงไกรถึง 3ครั้ง (ค.ศ.1258,ค.ศ.1285,ค.ศ.1288) ยุทธศาสตร์สำคัญที่กองทัพได่เวียดใช้ คือ หลีกเลี่ยงการปะทะในที่โล่ง ใช้กลศึกหลอกกล่อ พวกมองโกให้เข้ายึดเมืองร้างแล้วซุ่มโจมตี แม่ทัพผู้นำทัพต้านมองโกลนี้ คือ วีรบุรุษอีกท่านหนึ่งชื่อ แม่ทัพจรั่นฮึงด่าว (Tran Hung Dao)โดยทำการศึกษาครั้งที่สำคัญที่สมรภูมิแม่น้ำบักดั่ง(The Battle of Bach Dang River) โดยมองโกลยกกองเรือหวังเข้าโจมตีทางน้ำแต่ทัพจรั่นฮึงด่าวใช้กลศึกเดียวกับแม่ทัพโงเควี่ยนในอดีต โดยลวงให้เรือข้าศึกให้ติดตามเข้ามาในแม่น้ำตอนน้ำขึ้น เมื่อถึงเวลาให้กองกำลังที่ซุ่มอยู่เข้าโจมตี กองเรือมองโกลต้องถอยร่นกลับไปทางปากแม่น้ำตอนน้ำลง แต่ต้องติดกับดักไม้ซุงปลายแหลมที่สร้างเตรียมไว้ กองเรือมองโกลจึงติดขวากไม้ถูกตีแตกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ราชวงศ์จรั่นสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1400เมื่อขุนนางชื่อโฮกุ้ยลี (Ho Quy ly) บีบบังคับให้กษัตริย์สละราชสมบัติ แต่ราชวงศ์โฮก็อยู่ได้เพียง 7 ปี ถึงปี ค.ศ. 1407 ก็ถูกกองทัพหมิงบุกเข้ายึดครองผนวกดินแดนเข้ากับจีนโดยอ้างว่า ไม่มีผู้สืบราชวงศ์จรั่น ต่อมาปี ค.ศ.1418 คหบดีผู้หนึ่งซึ่งมักช่วยเหลือคนยากจน และเป็นที่ยกย่องนับถือของคนทั่วไปชื่อ เลเหล่ย (Le Loi)รวบรวมผู้คนขึ้นต่อต้านอำนาจหมิงจนในที่สุด เลเหล่ยสามารถบุกยึดเมืองทางลอง ได้ขับไล่กองทัพหมิงสำเร็จในปีค.ศ.1428 เลหเล่ยจึงขั้นเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เล ราชวงศ์เลต่างจากราชวงศ์ลี้และจรั่นซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศาสนาพุทธแต่กษัตริย์ในราชวงศ์เลยึดลัทธิขงจื๊อเป็นหลักศิลปะและสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นอย่างมาก ในปี ค.ศ.1471 ได่เวียดบุกเข้ายึดจามปาได้สำเร็จ อาณาจักรจามปาจึงมีขนาดเล็กลง และถึงจุดล่มสลายไปใน 2-300 ปีหลังจากนั้น


ประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์เวียดนาม

ประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
ต่อสู้เพื่อเอกราชจากจีนตลอด 1000 ปี (ก่อนคริสตกาล-ค.ศ.938)
          ปี 11 ก่อนคริสตกาลกองทัพฮั่นเข้าสู่อาณาจักรนามเวียดและผนึกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอั่น พื้นที่ที่เป็นตอนเหนือของเวียดนามปัจจุบันในตอนนั้น เรียกว่า ยาวจี๋ (Giao Chi) ถูกปกครองโดยชาวฮั่น ปีค.ศ.40 ได้เกิดการลุกขึ้นต่อต้านการกดขี่จากอำนาจจีนโดยท่านผู้หญิงสองพี่น้องตระกูลจรึง (ฮายบ่าจรึง Hai Ba Trung ภาษาเวียดนามฮาย แปลว่า สอง บ่าอาจแปลได้ว่า คุณผู้หญิง )สามารถยึดได้ 65 เมืองและประกาศตัวเป็นกษัตริย์หญิงแต่จากนั้น 3 ปี ก็ถูกจีนยึดคืน สองพี่น้องไม่ยอมจำนนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ฮายบ่าจรึงถือเป็นวีรสตรีที่สำคัญของเวียดนาม หลังจากนั้นมาราชวงศ์ฮั่น และราชวงศ์ต่อๆมาของจีนจึงได้พยายามลดบทบาทของขุนนางชาวเวียดนามลงและบังคับให้ใช้ระบบการปกครองรวมทั้งวัฒนธรรมแบบจีน  หลังจากนั้นมา ยังมีความพยายามทำสงครามเพื่อเอกราชอีกมากมายหลายครั้ง ตลอดช่วงระยะเวลาที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนอย่างยาวนานถึง 1,000 ปี แต่ไม่มีครั้งใดประสบความสำเร็จ  ยาวจี๋(Giao Chi) ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกเรื่อยมา อันนาม (An Nam) และต่อมาเป็น ยาวเจา (Giao Chau) และใช้ชื่อนี้มากระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10

เอกราชจีน (ค.ศ.938-ค.ศ.1009)
 ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ราชวงศ์ถังของจีนล่มสลาย เป็นช่วงที่จีนมีความแตกแยกวุ่นวาย ต่อมาปี ค.ศ.938 กองทัพราชวงศ์ฮั่นใต้ เตรียมบุกเข้ายึดยาวเจา (Giao Chau) ซึ่งขณะนั้นมีปกครองเดิมเป็นชาวจีนปกครองอยู่ กองทัพฮั่นใต้แต่งกองเรือเข้าบุกเขข้าทางแม่น้ำบักดั่ง (Bach Dang River) แม่ทัพโงเควี่ยน (Ngo Quyen) แห่งยาวเจา ใช้กลอุบายลวงเรือข้าศึกให้เข้ามาติดกับดักที่ทำจากซุงปลายแหลมที่ซ่อนไว้ใต้น้ำ เมื่อกองเรือข้าศึกเล่นเข้าติดกับ จึงเข้าโจมตีจนข้าศึกแตกพ่ายไป หลังจากนั้นแม่-ทัพโงเควี่ยนจึงประกาศตนขึ้นเป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์โง (Ngo Dynasty)เริ่มต้นยุคแห่งเอกราชไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ผู้ปกครองจีน ราชวงศ์โงอยู่ได้เพียง 30 ปี ก้อ่อนอำนาจลงเกิดความแตกแยกเป็น 12 เมืองเกิดสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างเจ้าเมืองทั้ง 12 จนในที่สุด ปีค.ศ. 968 ดินห์ โบ หลินห์ (Dinh Bo Linh)สามารถมีชัยเหนืออีก 11 เมืองรวมประเทศเป็นหนึ่ง สถาปนาราชวงศ์ดินห์ (Dinh Dynasty)ขึ้นเป็นจักรพรรดิ เปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็นโด่โก่เวียด (Dai Co Viet, Great Viet Land) ต่อมาถูกลอบปลงพระชนม์ รัชทายาทขึ้นครองราชย์ต่อมา  มีพระชนมายุเพียง 6ชันษา กองทัพราชวงศ์ซ่งจากจีนจึงถือโอกาสบุกอาณาจักรได่โก่เวียตแต่ไม่สำเร็จ ในเวลาต่อมาแม่ทัพชื่อ เลฮ่วน(Le Hoan) จึงยึดครองราชย์สถาปนา ราชวงศ์เล ( นักประวัติศาสตร์เรียก Former Le Dynasty) เพื่อไม่ซ้ำกับอีกราชวงศ์เลหนึ่งในยุคหลัง Later Le Dynasty) จักรพรรดิเลฮ่วนทรงตระหนักดีว่า ไม่อาจเอาชนะกองทัพจีนซึ่งมีกำลังมากได้ด้วยการรบตรงๆได้ จึงต้องเอาชนะกองทัพจีน ซึ่งมีกำลังมากได้ด้วยการรบตรงๆได้ จึงต้องทำการรบด้วยกลยุทธ์ โดยการลวงข้าศึกเข้าสู่ช่องเขาและโจมตี ทำให้สามารถเอาชนะกองกำลังอันเกียงไกรของจีนได้ กองทัพซ่งจึงถอยร่นไปในสมัยจักรพรรดิเลฮ่วน เริ่มมีการขยายอาณาเขตลงใต้ไปยังอาณาจักรจามปา เมื่อจักรพรรดิเลฮ่วนสวรรคตในปีค.ศ. 1005 เกิดศึกชิงบัลลังค์ระหว่างองค์ชาย หลังจากนั้นเพียง 4 ปี ในปีค.ศ.1009ราชวงศ์เล (former Le Dynasty) ก็สิ้นสุดลง รวมเวลา 29ปี มีกษัตริย์ 3 พระองค์


ประชากรเวียดนาม


ประชากร
           ประชากรส่วนใหญ่เป็นชนเชื้อชาติเวียดนามแท้ ประมาณร้อยละ ๘๕ เป็นชาวจีนประมาณร้อยละ ๒ ที่เหลือเป็นชนกลุ่มน้อยประมาณร้อยละ ๑๔ ประกอบด้วย ชาวโม้ง ( Muong) ไท (Thai) แม้ว (Meo) เขมรมอญ (Mon) จาม (Cham)  ดินแดนเวียดนาม แต่เดิมเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกมอย (Moi) ซึ่งมีชื่อต่าง ๆ กันหลายสิบเผ่า มีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกับชาวข่าบางเผ่าในประเทศลาว จัดเข้าอยู่ในตระกูลมอญ - เขมร และบางเผ่าในตระกูล ชวา - มลายู พวกมอยมีอยู่มากกว่าล้านคน ส่วนมากอาศัยอยู่ตามภูเขาเหนือไซ่งอน ขึ้นไปจนเหนือเส้นขนานที่ ๑๗ พวกนี้ไม่มีตัวหนังสือใช้ เคร่งครัดในลัทธิไสยศาสตร์ นับถือผีสาง เทวดา อย่างยิ่ง ไม่ชอบพบคนแปลกหน้า นอกจากพวกมอยแล้ว ขนกลุ่มน้อยในเวียดนามอีกพวกหนึ่งคือ พวกไทย บรรพบุรุษของพวกไทยอพยพจากประเทศจีน เมื่อประมาณต้นพุทธกาล เข้ามาตามลุ่มน้ำต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ในที่สุดได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นตังเกี๋ย เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มคือ 
           ผู้ไทยดำ  อยู่ในเขตสิบสองจุไทย แถบแม่น้ำซองมา แม่น้ำดำ เมืองซอนลา เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) เมืองฮุง เมืองลอย
          ผู้ไทยขาว  อยู่ในแถบเมืองไลเจา ใกล้เคียงกับไทยดำ ไทยโท้ ไทยนุง 
          ไทยโท้  อยู่รอบ ๆ บริเวณที่ราบสามเหลี่ยมแม่น้ำแดง ทางทิศตะวันตก และทางทิศเหนือของเมืองฮานอย 
          ไทยนุง  อยู่ตามพรมแดนตังเกี๋ย และมณฑลกวางสีของจีน
           ยาง  อยู่ในเขตเมืองห้ายาง ทางทิศตะวันออกของเมืองเผาลัก ตรงปากน้ำแคลร์กับน้ำโล
    มีชนอีกพวกหนึ่ง อยู่ตอนกลางของแคว้นตังเกี๋ยคือ พวกเมือง (Moung) ซึ่งเป็นชาติผสมเวียดนาม ชวา และไทย มีภาษาพูดคล้ายพวกเวียดนามมาก ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามเชิงเขา บริเวณใกล้กับเมืองฮานอย และตะวันตกเฉียงใต้ลงไป ตามภูเขากั้นพรมแดนลาว ตรงกับเมืองวินห์ นับว่าเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของเวียดนาม ทางตอนเหนือด้วยเหมือนกัน  มีชนอีกสองพวกที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเวียดนามตอนเหนือคือ พวกแม้ว และพวกหม่าน 
          พวกแม้ว  แบ่งออกเป็นสี่พวกคือ แม้วขาวแดง แม้วสาย แม้วดำ และแม้วขาว อาศัยอยู่ตามเมืองชายแดน ที่ติดต่อกับประเทศจีน ทางด้านมณฑลยูนาน ในเขตเมืองลาวกาย เมืองจำปา เมืองฟองโท เมืองไลเจา เมืองแถง และเมืองซอนลา 
          พวกหม่าน  แบ่งออกเป็นห้าพวกคือ หม่านตาปัน หม่านลานเถน หม่านกวางก๊ก หม่านเถาลาน และหม่านกวางตัง อาศัยอยู่ตามภูเขาในเขตเมืองฟองโท เมืองไลเจา เมืองลาวกาย ริมฝั่งแม่น้ำแดง เมืองเกายาง เมืองลาวเชิง เมืองเยนบาย เมืองบองกาย และภูเขาแถบเมืองหัวบินห์ ก่อนที่แม่น้ำดำจะไปบรรจบแม่น้ำแดง
         ชาวญวน หรือชาวเวียดนาม  เดิมอยู่ในประเทศจีนตอนใต้ บริเวณมณฑลซีเกียง ฟูเกี้ยน กวางตุ้ง และกวางสี ในปัจจุบัน จัดอยู่ในเผ่าไทย - จีน เพราะภาษาพูดของพวกเวียดนาม มีคำพ้องกับคำไทยในภาษา และคำในภาษาจีนอยู่มาก
         พวกชนกลุ่มน้อยรวมกันประมาณร้อยละ ๑๕ ของประชากร เวียดนามตอนเหนือนี้ โดยความเป็นมาทางประวัติสาสตร์ เป็นพวกที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับพวกเวียดนาม ในสมัยที่ยังแยกเป็นเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ รัฐบาลเวียดนามเหนือได้เคยประสบปัญหาของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ ได้อนุมัติให้มีเขตปกครองตนเองของพวกไทย - แม้ว (Thai - Meo Autonomous) มีพื้นที่ประมาณ ๑๙,๕๐๐ ตารางไมล์ มีชนเผ่าต่าง ๆ อยู่ ๒๐ เผ่า ประมาณ ๓๓๐,๐๐๐ คน และมี Viet - Bac Autonomous Area   มีพื้นที่ประมาณ ๑๖,๐๐๐ ตารางไมล์ มีชนเผ่าต่าง ๆ ๑๕ เผ่า ประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ คน นอกจากนี้ยังมี Lao - Ha - Yen  Area  อีกด้วย 
          ชาวเวียดนามแท้  ส่วนใหญ่อาศัยอยู่หนาแน่น ตามที่ราบลุ่มสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ที่ราบตามชายฝั่งทะเลตะวันออก และที่ราบตอนใต้
  ชาวจีน  ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในย่านการค้า และตามเมืองใหญ่ ๆ เช่น เมืองโชลอง เมืองไซ่ง่อน (โฮชิมินห์) และเมืองตามชายฝั่งทะเลทั่วไป ชาวจีนที่อยู่ในเวียดนามเกือบทั้งหมด ถือสัญชาติเวียดนาม มีการพักรวมกันเป็นกลุ่ม จัดตั้งสมาคมเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า แต่ก็มีชาวจีนบางส่วนประกอบอาชีพทางกสิกรรมเลี้ยงสัตว์ 
         ชาวเผ่าไทย  ประกอบด้วย ไทยขาว ไทยดำ ไทยแดง ไทยลาย ไทยโท้ ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด จากบรรดาชนที่ไม่ใช่เวียดนามแท้ 
         ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ  ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามภูเขา เชิงเขา ที่เป็นป่าลึกด้านเหนือ กลาง และตะวันตก และที่ราบสูงภาคกลาง พวกนี้มักไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ชอบอพยพเปลี่ยนที่อยู่เรื่อยไป ไม่นิยมวัฒนธรรมต่างถิ่น ส่วนใหญ่มีความเชื่อในไสยศาสตร์ หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกข้าวไร่ ล่าสัตว์ และหา
ของป่ามาขาย
          ชาวเขมร  อาศัยอยู่ตามบริเวณดินแดนดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง กับบริเวณใกล้เมืองฮาเดียน ติดต่อกับแดนเขมร ไปจนถึงบริเวณแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลจีน มีอาชีพส่วนใหญ่ในการทำการกสิกรรม เลี้ยงสัตว์ และการประมง นับถือพระพุทธศาสนา และมีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายประชากรในประเทศกัมพูชา
          ชาวจาม  เป็นเจ้าของถิ่นเดิมในดินแดนภาคกลางของเวียดนาม และในภาคใต้ของเวียดนาม แถบชายแดนติดต่อกับประเทศกัมพูชา แถบเมืองซอด๊อก ไตนินห์ และฟานราง ชาวจามเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมสูงเป็นของตนเองมาก่อน วัฒนธรรมของชาวจามที่เหลืออยู่ในเวียดนามคือ วัดโพนาการ์ (Poh Nagar) ซึ่งอยู่ในภาคกลางของเวียดนาม 

         ชาวเกาะ  เป็นพวกที่มีเชื้อสายอินเดีย อินโดนีเซีย มลายู ทำมาหากินอยู่ทั่วไปในภาคใต้ของเวียดนาม ในแถบชายฝั่งทะเลเข้ามาจนถึงเขตแดน ที่ติดต่อกับกัมพูชา และลาว และขึ้นไปทางเหนือจนถึงเมืองเว้ และเมืองกวางตรี ความหนาแน่นอยู่ในภาคกลางของประเทศ
                เชื้อชาติอื่น ๆ  เป็นชาวต่างประเทศที่เข้าไปประกอบอาชีพเล็กๆ น้อย เป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่ทั่ว ๆ ไปตามเมืองใหญ่ ๆ ที่เจริญแล้ว และตามชายแดนที่ติดต่อกัน เช่น ลาว ไทย ฝรั่งเศส และชาวยุโรปอื่น ๆ

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ที่ตั้งอาณาเขตเวียดนาม

เวียดนาม (Vietnam)  หรือชื่อทางการสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (ก่ง หั้ว ซ้า โห่ย ฉู เงี้ย เหวียด นาม: Socialist Repuplic of Vietnam) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของคาบสมุทรอินโดจีน มีรูปร่างยาวโค้งเรียงเป็นรูปตัว s ตามแนวฝั่งตะวันตกของทะเลจีนใต้จากเส้น 23 22’ เหนือถึง 8 30’ เหนือและลองติจูด 109 29’ ตะวันออกถึง 10210’ ตะวันออก ประเทศเวียดนามมีพื้นที่ประมาณ 331,033 กิโลเมตร เป็นพื้นที่น้ำ 1.3% ( อันดับที่ 65 ความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,650 กิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลยาวทั้งสิ้น 3.440 กิโลเมตร โดยมีเขตแดนทางทะเลร่วมกับไทยยาว 97 กิโลเมตร เป็นประเทศที่มีลักษณะแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ยังมีไหล่เขาและหมู่เกาะต่างๆ อีกนับพันเรียงรายตั่งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าว
ชายแดนมีความยาวทั้งหมด 4,638 km (2,883 mi) โดยติดกับประเทศกัมพูชา 1,228 km (763 mi)ประเทศจีน 1.281 km(796mi) และประเทศลาว 2,130 km(1,324)
          มีอาณาเขต ติดต่อกับประเทศต่างๆคือ
ทิศเหนือ ติดกับประเทศจีนในเขตแคว้นยูนนาน กวางสี และกวางตุ้ง
ทิศใต้ ติดต่อกับทะเลจีนใต้และอ่าวไทย
ทิศตะวันตก ติดกับอ่าวไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและประเทศกัมพูชา
ทิศตะวันออก ติดกับอ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้      
ลักษณะภูมิประเทศ
  ลักษณะภูมิประเทศ โดยทั่วไปเป็นป่าเขาทางภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับจีน จะมีภูเขามากที่สุด เส้นทางคมนาคม มีแต่ตามช่องเขาต่าง ๆ ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง เป็นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ภาคใต้เป็นที่ราบริมฝั่งทะเล ทำการเพาะปลูกได้ตามพื้นที่ปากแม่น้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่
           พื้นที่ในแคว้นตังเกี๋ย พื้นที่ทางตอนเหนือและทางตะวันตกเป็นทิวเขา แต่ละทิวเขาทอดจากตะวันตก ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ทางชายแดน ที่ติดต่อกับประเทศจีน ในเขตมณฑลยูนาน และกวางสีเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีหน้าผาชันและเหวลึก มียอดเขาสูงเรียงรายกันไป สิ้นสุดในแนว
            ทิวเขาอันนัม  ซึ่งเป็นแกนของพื้นที่ ประกอบด้วยเทือกเขาที่สลับซับซ้อน และมีที่ราบสูงหลายแห่งอยู่ติดต่อกัน บางแห่งมีความสูงถึง ๓,๑๔๐ เมตร ทิวเขาเหล่านี้แผ่กว้างออกไปในพื้นที่ตอนเหนือ และตอนใต้ 
            ที่ราบสูงตอนเหนือ  อยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำแดง เป็นบริเวณที่มีหินเขาอัคนี ประกอบด้วยที่ราบสูงที่มีหินทรายและหินปูน ส่วนใหญ่เป็นป่าเขามีบางส่วนเป็นที่นา
          พื้นที่ลุ่มตังเกี๋ย  เป็นพื้นที่ลุ่มบริเวณปากแม่น้ำแดง รวมกับที่ลุ่มปากแม่น้ำอื่น ๆ อีกหลายสาย ทางภาคเหนือโดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มเป็นดินทรายที่ถูกแม่น้ำต่าง ๆ พัดพามาสะสมไว้ จึงเป็นบริเวณที่เหมาะแก่การเพาะปลูกมาก โดยเฉพาะพื้นที่ปากแม่น้ำแดงมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น ส่วนใหญ่มีอาชีพทางเกษตรกรรมพื้นที่ลุ่มบริเวณดังกล่าว โดยทั่วไปมีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน ๑๐ ฟุต มีคลองส่งน้ำเป็นจำนวนมาก แยกจากแม่น้ำแดง นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำสายสั้น ๆ อีกหลายสายเช่น แม่น้ำดำที่ไหลจากที่ราบสูงทางตอนเหนือของแคว้นตังเกี๋ย 
          พื้นที่สามเหลี่ยม (Delta)  ที่เกิดจากแม่น้ำมา แม่น้ำซู และแม่น้ำคา ทำให้เกิดที่ลุ่มขยายลงมาทางส่วนใต้ตอนใกล้ทะเล แคว้นตังเกี๋ยเป็นดินแดนที่กว้างขวางที่สุดของเวียดนาม มีพื้นที่ประมาณ ๑๑๖,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ระยะทางจากเหนือจรดใต้ประมาณ ๓๘๐ กิโลเมตร และจากตะวันออกจรดตะวันตก ประมาณ ๖๐๐ กิโลเมตร
          พื้นที่ระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำแดง  เป็นพื้นที่ติดต่อกับประเทศลาว ส่วนใหญ่เป็นภูเขา เป็นภูเขาหินปูน ความสูงของพื้นที่โดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่าที่ราบตังเกี๋ยมาก
           แม่น้ำที่สำคัญในบริเวณนี้คือแม่น้ำดำ  ซึ่งไหลผ่านเข้าไปในภูเขาแคบ ๆ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างใดแก่พื้นที่แม่น้ำดำไหลขนานไปกับแม่น้ำแดง แล้วไปบรรจบกับแม่น้ำแดงทางเหนือของกรุงฮานอย กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาก
          พื้นที่แคว้นอันนัม  เป็นที่ราบแถบริมฝั่งทะเลยาวตลอดลงไปทางใต้ ทางทิศตะวันตกเป็นทิวเขาสูงกั้นเขตแดนระหว่างลาวกับเวียดนาม มีแม่น้ำสายสั้น ๆ ไหลลงสู่ทะเล ทางด้านทิศตะวันออก
ภูเขา แม่น้ำ และที่ราบ
          ภูเขา  แบ่งออกได้เป็นสามบริเวณคือ 
          บริเวณภาคเหนือของแคว้นตังเกี๋ย  เป็นบริเวณพื้นที่ทางตะวันออกของแม่น้ำแดง แยกออกเป็นบริเวณย่อย ๆ ได้ สามบริเวณคือ 
           - บริเวณแม่น้ำขาว  กับชายทะเล เป็นบริเวณที่กว้างที่สุด ประกอบด้วยทิวเขา และสันเขา เป็นรูปโค้งซ้อนทับกัน หันเข้าหาทางทิศตะวันออก และทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีอยู่สี่ทิวเขาด้วยกันคือ ทิวเขาซองกำ (Soug Gam) อยู่บริเวณตอนกลางของแม่น้ำดำ มีหุบเขาอีกและทะเลสาบหลายแห่ง มียอดสูงสุดประมาณ ๑,๙๗๐ เมตร  ทิวเขางามซัน (Ngan Son) มียอดสูงสุด ๑,๙๓๐ เมตร,  ทิวเขาบัคซัน ( Bac Son) เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำเทือง (Song Thuang) หุบเขานี้มีความลาดชันมาก เป็นช่องทางเชื่อมมณฑลกวางสีของจีนกับเมืองลังซัน (Long Son) ของเวียดนาม  ทิวเขาดองเตรียม (Dong Triam) เริ่มจากเมืองฟูลงเทือง (Phu Long Thuang)  ไปจรดชายแดนประเทศจีน มียอดสูงสุด ๑,๕๐๐ เมตร ตอนกลางของทิวเขามีถ่านหินอุดมสมบูรณ์มาก
           - บริเวณเมืองไทงูเย็น (Thai Ngu Yen)   เมืองตูเย็น (Tuyen) เมืองเย็นเบ (Yen Bay) และเมืองพูโด (Phu Tho) เป็นบริเวณที่ประกอบด้วยภูเขาเตี้ย ๆ และหุบเขากว้าง ๆ มีทิวเขาสูงอยู่เพียงยอดเดียวคือ ทิวเขาตันดา (Tan Da ) สูงประมาณ ๑,๕๙๐ เมตร
           - บริเวณที่ราบสูงติดต่อกับชายแดนจีนในเขตมณฑลยูนาน  ที่ราบสูงในมณฑลยูนานของจีน ได้ยื่นเข้ามาทางภาคเหนือของแคว้นตังเกี๋ย ที่ราบสูงเหล่านี้มีลักษณะเหล่านี้มีลักษณะแตกต่างกันมาก ประกอบด้วย ที่ราบสูงปางคาน (Pang Khan)  มีทิวเขาซองเซ (Song Chay)  มียอดสูงประมาณ ๒,๔๓๐ เมตร ที่ราบสูงพูทาคา (Pou Tha Ca) และที่ราบสูงดองตวน (Dong Tuan)  ซึ่งอยู่ในเมืองเคาบัง (Cao Bang) และเมืองลังซัน (Long Son) เหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำสั้น ๆ ไหลไปบรรจบแม่น้ำซีเกียว (Si Kiang) ในประเทศจีน
          - ทิวเขาบริเวณแม่น้ำแดงกับแม่น้ำโขง เป็นบริเวณที่มีทิวเขาหนาแน่นที่สุด ทิวเขาเหล่านี้มีทิศทางจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปยังทิศตะวันออก
            - ทิวเขาฟานสีฟัน (Fan Si Pan) อยู่ระหว่างแม่น้ำแดงกับแม่น้ำดำ มีความยาวประมาณ ๑๘๐ กิโลเมตร มีความสูงประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร สูงสุดประมาณ ๒,๙๘๐ เมตร มีที่ราบสูงทายังพัน (Ta Yang Pan) ซึ่งมีความสูงถึง ๒,๐๐๐ เมตร
ทางทิศใต้ของทิวเขาฟานสีฟัน จนถึงที่ราบสูงตรันนินห์ (Tran Ninh) ในประเทศลาว พื้นที่ประกอบด้วยทิวเขาที่มีทิศทางจากตะวันตกเฉียงเหนือไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิวเขาเหล่านี้ก่อให้เกิดลำน้ำและที่ราบเล็ก ๆ ทั้งสองฝั่งของลำน้ำคือบริเวณลุ่มแม่น้ำดำ เริ่มตั้งแต่เมืองไลเจา (Lai Chau) จนถึงหัวบินห์ (Hoa Binh) ต่อไปจนถึงเมืองวูบาน (Yu Ban) และเมืองฟูโนกวาน (Phu Nho Quan) ที่ราบสูงตั้งแต่ชายแดนติดต่อกับมณฑลยูนาน ประเทศจีนจนถึงที่ราบสูงซองลา (Song la) และที่ราบสูงมอค (Moc) 
            - ทิวเขาตรันห์หัว (Tharh Hoa) อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมา (Song Ma) ทางตอนเหนือ
             -ทิวเขาอันนัมในแคว้นอันนัมตอนเหนือ เป็นทิวเขาที่ยาวเหยียดจากบริเวณที่ราบสูงตรันนินห์ (Tran Ninh) ในประเทศลาว ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และขนานกับชายทะเล จากทางตอนเหนือของแคว้นไปสุดทางใต้ของเวียดนาม ทิวเขานี้มีความสูงไม่มากนัก บางตอนแคบมาก และเป็นหน้าผาขัน เป็นทิวเขาที่แบ่งประชากร ที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออก และภาคตะวันตกของภูเขา
      แม่น้ำ 
       แม่น้ำบริเวณแคว้นตังเกี๋ย  มีแม่น้ำที่สำคัญอยู่สองสายคือ
            - แม่น้ำแดง  มีความยาวประมาณ ๑,๒๐๐ กิโลเมตร ต้นน้ำอยู่ในเขตมณฑลยูนาน ประเทศจีน มีทิศทางการไหลจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แม่น้ำแดงไหลเข้าเขตประเทศเวียดนาม ในเขตเมืองลาวกาย (Loa Kay) และมีความยาวจากเมืองลาวกาย จนถึงปากแม่น้ำที่ไหลไปลงสู่ทะเล มีความยาวประมาณ ๕๐๐ กิโลเมตร ระหว่างเมืองลาวกาย และเมืองเยนเบ (Yan Bay) มีเกาะแก่งอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นอุปสรรคในการเดินเรือ มีแควสำคัญ ๆ ของแม่น้ำแดง ทางฝั่งขวามีแม่น้ำดำ และแควนำมู (Nam Mou)  ทางฝั่งซ้ายมีแม่น้ำขาว และแควของแม่น้ำขาว ที่สำคัญอีกสามสาย  จากตัวเมืองเวียตตรี แม่น้ำแดงเริ่มไหลเข้าสู่ที่ราบลุ่ม และแยกออกไปเป็นหลายสาย ก่อนไหลลงสู่ทะเลจีน ในอ่าวตังเกี๋ย สายที่สำคัญคือ แม่น้ำเดย์ (Day) คลองเรปิด (Rapid Canel) และคลองแบบบัว ได้เชื่อมแม่น้ำแดงกับแม่น้ำไทยบินห์ (Thai Binh)  ปริมาณน้ำในแม่น้ำแดง ในฤดูแล้งกับฤดูน้ำ มีความแตกต่างกันมาก ฤดูน้ำมากอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือนตุลาคม น้ำในแม่น้ำแดงมีระดับสูง ไม่เป็นเวลาไม่แน่นอน แล้วแต่ปริมาณฝนตกบนภูเขา 
          - แม่น้ำไทยบินห์ (Thai Binh) มีความยาวไม่มาก โดยเริ่มต้นจากจุดรวมของแควซองคัด (Song Cad) และซองตัง (Song Thoung) ไปถึงบริเวณที่จรดกับคลองเรปิด ต่อจากนั้นแม่น้ำไทยบินห์ ก็กลายเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำแดง ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง มีแม่น้ำลำคลองใหญ่น้อย มาเชื่อมติดต่อกัน แล้วไหลลงสู่ทะเลจีน ในอ่าวตังเกี๋ย บริเวณนี้ปรากฎว่า มีน้ำท่วมอยู่บ่อย ๆ จึงจำเป็นต้องสร้างเขื่อนกั้นน้ำ เพื่อให้ใช้พื้นที่ทำการเพาะปลูกได้ ในบางแห่งสามารถทำนาได้ปีละสองครั้ง
             - แม่น้ำบริเวณตอนเหนือของแคว้นอันนัม  ทางตอนเหนือของแคว้นอันนัม มีทิวเขาอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลมากกว่าทางตอนใต้ลงไป แม่น้ำบริเวณนี้จึงมีความยาวกว่าแม่น้ำซึ่งเกิดจากทิวเขาอันนัม ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนติดต่อกับประเทศลาว แม่น้ำเหล่านี้จะไหลลงสู่ทะเล ทางด้านทิศตะวันออก มีแม่น้ำที่สำคัญ ๆ คือ แม่น้ำชู (Song Cho) และแม่น้ำมา (Song ma) มีความยาวประมาณ ๕๐๐ กิโลเมตร ไหลลงสู่ทะเลจีนในบริเวณเมืองทันหัว (Than Hoa) มีที่ราบลุ่มระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ และบริเวณปากน้ำใช้ในการเพาะปลูก ต้นน้ำของแม่น้ำดังกล่าว อยู่ในแคว้นซำเหนือของประเทศลาว  แม่น้ำคา (Song Ca) เกิดจากที่ราบสูงตรันนินห์(Tran Ninh) ในประเทศลาว ไหลลงสู่ทะเลจีนบริเวณเมืองวินห์ (Yinh)  แม่น้ำเบนไฮ เป็นแม่น้ำสำคัญอีกสายหนึ่ง เดิมใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเวียดนามเหนือ กับเวียดนามใต้ ที่เส้นขนานที่ ๑๗ องศาเหนือ 
          ที่ราบ 
          ที่ราบเป็นที่ราบซึ่งไม่กว้างขวางนัก ส่วนมากจะอยู่แถบชายทะเล หรือระหว่างสองข้างของแม่น้ำ
          ที่ราบลุ่มแคว้นตังเกี๋ย หรือที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง  เป็นที่ราบลุ่มที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุด ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร มีความสูงประมาณ ๐ - ๑๕ เมตร จากระดับน้ำทะเล ในที่ราบนี้มีบริเวณเนินเขาที่เป็นหินบ้างเล็กน้อย ทางทิศใต้มีทิวเขาหินปูน บริเวณเมืองทันห์หัว (Thanh Hoa) ติดต่อกันโดยผ่านช่องเขาดองเกียว 
          ที่ราบทันห์หัว (Thanh Hoa) อยู่ในแคว้นทันห์หัว หรือในบริเวณลุ่มแม่น้ำมา และแม่น้ำชู มีพื้นที่กว้างขวาง รองลงมาจากที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง ใช้ในการเพาะปลูก
            ที่ราบไงอัน ( Nghi An)  อยู่บริเวณรอบ ๆ เมืองวินห์ (Yinh) หรือบริเวณที่ราบลุ่มของแม่น้ำคา
           ที่ราบฮาเตียน (Hatinh)  อยู่บริเวณเมืองฮาเตียน จากที่ราบแห่งนี้ต่อลงไปทางใต้ มีที่ราบชายฝั่งทะเล มีลักษณะแคบยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเล ผ่านเมืองดองฮอย (Dong Hoi) ไปจนถึงที่ราบเมืองกวางตรี (Quoang Tri) และเมืองเว้ (Huc) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ลงไป