ประเพณี
เนื่องจากคนเวียดนามส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากจีน
ทั้งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนนับพันปี จึงได้รับอิทธิพลทั้งด้านความเชื่อและการดำรงชีวิตมาจากจีนไม่น้อย
แม้ปัจจุบันชาวเวียดนามส่วนใหญ่จะไม่นับถือศาสนาใดอย่างเคร่งครัด
แต่ประเพณีและวันหยุดสำคัญต่างๆ ก็ยังสะท้อนความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา
และความเชื่อเรื่องการกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษเช่นเดียวกับคนจีน
ตรุษเวียดนาม
ตรุษเวียดนาม หรือ เต๊ดเวียนด๋าน
แปลว่าเทศกาลวันต้นปีใหม่ โดยนับจากจันทรคติ ชาวเวียดนามเรียกสั้นๆว่า เต๊ด เป็นประเพณีเฉลิมฉลองที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี
วันเต๊ดอยุ่ในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ พิธีกรรมและประเพณีต่างๆ
ที่กระทำกันในวันเต๊ดนั้น
ตั้งอยู่บนพื้นฐานการติดต่อสื่อสารและเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งระหว่างญาติมิตรระหว่างคนกับวิญญาณของบรรพบุรุษ
และคนกับเทพเจ้าประจำบ้าน ช่วงเต๊ดยังถือเป็นช่วงต่อของเวลาที่สำคัญ เป็นโอกาสที่จะสร้างความหวังที่ดีงามให้แก่ตนเอง
เช่น การได้ยินเสียงสัตว์หลังเที่ยงคืนของวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
หรือภายหลังตื่นขึ้นในตอนเช้าของวันใหม่ถ้าได้ยินเสียงไก่ตัวผู้ขัน
ทำนายว่าปีนั้นจะเป็นปีที่ยุ่งยาก ถ้าได้ยินเสียงสุนัขต้องระมัดระวังการถูกขโมย
เป็นต้น หนึ่งสัปดาห์ก่อนเต๊ด บางครอบครัวไปคารวะหลุมศพพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
เพื่อทำความสะอาดหลุมฝังศพและจุดธูปเชิญวิญญาณของผู้ตายจากภพอื่นให้กลับมาเยี่ยมครอบครัว ก่อนวันเต๊ด 1 วัน เรียกว่า ตั๊ดเนียน แปลว่าสิ้นปี
เป็นการฉลองช่วงเวลาสุดท้ายในปีเก่าอย่างสนุกสนาน จนเมื่อเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่จะถือเป็นวันหลักที่สามีต้องอยู่กับสมาชิกในครอบครัว
และญาติมิตรลูกหลานมารวมตัวกัน เด็กๆ จะได้รับการอวยพรจากผู้ใหญ่ เรียกว่า
หมึ่งต่วย แปลว่า อวยพรอายุ เป็นการส่งความปรารถนาดีให้ประสบความสำเร็จอีกปี และก็รับการแจกเงินใส่ซองสีแดง
สื่อความหมายว่าเงินทุนก้อนเล็กๆหรือขวัญถุง
วันนั้นครอบครัวมาพร้อมหน้ากันหน้าแท่นหรือหิ้งบูชาบรรพบุรุษ
แล้วเซ่นไหว้อาหารมื้อแรกสำหรับการกลับมาเยือนของบรรพบุรุษจะอยู่ตลอดช่วงเทศกาลเต๊ด
หลังจากนั้นคนในครอบครัวจะกินร่วมกัน
วันที่สองของเต๊ดจะไปเยี่ยมอวยพรครอบครัวของภรรยาและเพื่อนสนิท
เมื่อถึงวันที่สามจึงไปเยี่ยมคนอื่นๆ เช่น ครู เจ้านาย แพทย์ที่เคยรักษา เป็นตัน
เย็นวันนี้เป็นวันที่บรรพบุรุษจากไป
ชาวเวียดนามจึงเผากระดาษทองให้บรรพบุรุษนำติดตัวกลับไปใช่บนสวรรค์
ในช่วงเทศกาลเต๊ด คนที่มีข้อบาดหมางใจที่ทำให้ไม่สบายใจใดๆ ต้องทิ้งไป ห้ามพูดหยาบคาย
ด่าทอ ร้องไห้ ให้พูดสิ่งที่ดี ไพเราะ
เต๊ดจุงเวียน
เต๊ดจุงเวียน (Tet
Trung Nguyen) เป็นงานคล้ายกับงานสารทจีน เรียกอีกอย่างว่า
สาโตยวองเญิน หรือเทศกาลโปรดผีเร่ร่อน จัดขึ้นในวันที่ 15
เดือน 7 ตามจันทรคติ เชื่อว่าวันที่วิญญาณร้ายขึ้นมาบนโลก จึงมีการทำทานให้วิญญาณเร่ร่อนโดยนำข้าวต้ม
ถั่วคั่ว หรือกระดาษเงินกระดาษทอง นำไปวางไว้ในวัดหรือโคนต้นไทร
หลังจากเสร็จพิธีจะมอบอาหารที่ใช้ไหว้ผีให้เด็กๆ หรือคนยากจน
ส่วนกระดาษเงินกระดาษทองจะเผาเพื่อส่งให้วิญญาณเร่ร่อนในอีกโลก
เต๊ดดวานเหงาะ
เต๊ดดวานเหงาะ (Tet
Doan Ngo) เป็นประเพณีที่จัดขึ้นกลางปี
ของทุกครอบครัวเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย และปกป้องคนในครอบครัวจากโรคภัยไข้เจ็บ
มีขึ้นในวันที่ 5 เดือน5ตามจันทรคติ
ที่ต้องจัดขึ้นในช่วงนี้เนื่องมาจากเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูร้อน
ซึ่งมีผู้คนจะเจ็บป่วยได้ง่าย
เทศกาลนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเต๊ดเซิวเบาะ (Tet Sao Bo) เซิวเบาะ แปลว่า หนอน หรือแมลง เนื่องจากเป็นวันที่ชาวไร่ชาวนาจะกำจัดแมลงเพื่อเริ่มปลูกพืชในฤดูกาลใหม่นั่นเอง
ในวันนี้ชาวนาทุกคนตื่นแต่เช้า กินผลไม้ และข้าวเหนียวหมัก
รวมถึงมีพิธีบวงสรวงในตอนเที่ยงที่ถือว่าเป็นเวลาของม้า(Ngo)ด้วย
เต๊ดจุงทู
เต๊ดจุงทู (Tet
Trung Thu) หรือเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
คล้ายกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ของจีน ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน8 ตามปฏิทินจันทรคติ หรืออยู่ในช่วงเดือนกันยายน
ในเทศกาลนี้ชาวเวียดนามจะจัดประกวดขนมแบ๋ญจุงทู (Banh Trung Thu) หรือ ขนมไหว้พระจันทร์ รูปร่างกลม ผิวหน้าประดับลวดลายสวยงาม
ใส่ไส้ถั่วและผลไม้ แต่ละบ้านจะมีโคมไฟประดับเพื่อเฉลิมฉลอง
มีขบวนแห่เชิดสิงโตและมังกร
ซึ่งในขบวนนี้จะอนุญาตให้เด็กๆร่วมร้องเพลงเต้นรำไปด้วย ในช่วงที่เวียดนามยังอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
รัฐบาลฝรั่งเศสเกรงว่าหากปล่อยให้ชาวเวียดนามชุมนุมกันมากเข้าจะนำไปสู่การปฏิวัติ
จึงไม่อนุญาตให้ผู้ใหญ่เข้าร่วมเต้นรำในขบวนแห่ของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
นับแต่นั้นมา เทศกาลนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เทศกาลของเด็ก
เต๊ดห่านทึ้ก
เต็ดห่านทึ้ก
(Tet Han Thuc) เป็นอีกประเพณีหนึ่งที่เวียดนามได้รับมาจากจีน
ทางภาคเหนือของเวียดนามโดยเฉพาะรอบๆเมืองฮานอย
จะเฉลิมฉลองประเพณีนี้พร้อมกันในวันที่ 3 เดือน3 ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ
เดิมทีมีกฎว่าในวันนี้ห้ามจุดไฟเพื่อหุงอาหาร แต่ปัจจุบันชาวเวียดนามจะถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนและทำความสะอาดสุสานประจำตระกูล
โดยจะทำ แบ๋ญโจย ขนมทำจากข้าวเหนียวสอดไส้น้ำตาลแดงนำไปต้มสุก และแบ๋ญไจ
ขนมทำจากแป้งข้าวเหนียวสอดไส้ถั่วบด แช่ในน้ำเชื่อม โรยงา คล้ายบัวลอยไทย
เป็นของไหว้บรรพบุรุษ
เทศกาลตลาดนัดเคาวาย
ชุมชนเคาวาย (Khau
Vai) ตั้งอยู่ในเขตแหม่วหวาก อยู่ทางตอนเหนือสุดของจังหวัดห่าซาง เป็นชุมชนของเผ่าซั้ย
(Giay) หนุ่ง (Nung) และเหมื่อง (Muong) เทศกาลตลาดนัดของชุมชนนี้จะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ในระยะเวลาประมาณ 3 วัน วันแรกของเทศกาลเป็นวันที่มีพิธีผลัดเปลี่ยนปฏิทินสู่ช่วงเวลาใหม่ของปี
คนในชุมชนจะอาบน้ำแต่งตัวสวยงามตามฤกษ์ที่กำหนด นำตะเกียง กำยาน ดอกไม้ ผลไม้
ไปบูชาที่เจดีย์ สวดมนต์และขอพรให้ชีวิตในปีนี้ประสบแต่สิ่งดีๆ ในวันที่สองและสามของเทศกาลจะมีการถวายของบูชา
ก่อกองทรายเพื่อโชคลาภ และสรงน้ำพระพุทธรูป นอกจากนี้ช่วงเวลาของเทศกาล
ผู้คนจากท้องถิ่นที่ใกล้เคียงจะมารวมตัวกันซื้อขายสินค้าหลายประเภท
มีการแสดงดนตรีและการละเล่นท้องถิ่น รวมถึงจัดแสดงงานศิลปะพื้นบ้านอีกด้วย
เทศกาลลิม
เทศกาลลิม
(Lim) เป็นเทศกาลสำคัญในภาคเหนือของเวียดนาม ที่มีผู้เข้าร่วมนับล้านคน
จัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ในเขตบั๊กนิญ ไม่ไกลจากกรุงฮานอยนัก
เทศกาลนี้มีจุดเด่นที่บทเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่า กวานเหาะ (Quan ho) ซึ่งเป็นเพลงระลึกถึงชาวนาชาวไร่ ร้องโต้ตอบกันระหว่างผู้ขับชายหญิง
ผู้ขับร้องที่มีอยู่หลากหลายกลุ่ม ทั้งบนเรือ ในแม่น้ำ บนเนินเขา และตามเจดีย์ที่นับถือในท้องที่นั้น
นอกจากนี้ยังมาการละเล่นพื้นบ้านที่แปลกและน่าสนใจหลายอย่าง เช่น
การแข่งทอผ้าพร้อมกับขับร้องบทเพลงกวานเหาะไปด้วย และการขีดวงกลมบนพื้นและนำกบเป็นๆมาปล่อยไว้
และให้เด็กแข่งกันดูแลไม่ให้กบกระโดดออกมานอกวง
โดยต้องเลี้ยงเด็กและสุมไฟในเตาไปด้วย หากกบกระโดดออกนอกวงได้ หรือไฟในเตาดับ
หรือเด็กร้องให้จะถือว่าแพ้ไป เป็นต้น
เทศกาลบูชากษัตริย์หุ่ง
เทศกาลบูชากษัตริย์หุ่ง
(Le
hoi den Hung) เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวเวียดนาม และเป็นวันหยุดราชการมาตั่งแต่ต้นปี
ค.ศ.2007 จัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน เพื่อระลึกถึงและแสดงความเคารพต่อกษัตริย์หุ่ง
กษัตริย์องค์แรกตามตำนานของเวียดนาม
ที่ว่ากันว่าเป็นผู้ริเริ่มสอนให้ชาวเวียดนามปลูกข้าว การเฉลิมฉลองกินเวลาหลายวัน
ณ วันของกษัตริย์หุ่ง บนเขาเหงียหลิง
มีการปล่อยจะมีทั้งการประดับธงตามถนนสายที่มุ่งสู่ภูเขาเหงียหลิง
มีการปล่อยบอลลูนและโคมไฟลอยในคืนก่อนวันพิธีหลัก ซึ่งตรงกับวันที่ 10 เดือน 3 ตามจันทรคติ
ในวันนั้นจะมีผู้แสวงบุญจากทั่วทุกทิศมารวมตัวกัน
นอกจากจะมีพิธีบูชาวิญญาณของกษัตริย์ในอดีตแล้ว ยังมีขบวนแห่งช้าง
การแสดงเชิดมังกร และขบวนพาเหรดจากแต่ละท้องถิ่นด้วย
ประเพณีชนควาย
เป็นประเพณีท้องถิ่นของเมืองโด่เซิน
(Do
son) ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศริมทะเลไม่ไกลจากกรุงฮานอย
มีตำนานว่าผู้อาวุโสที่สุดในหมู่บ้านฝันเห็นควายสองตัวต่อสู้กันจนเกิดคลื่นสูงในท้องทะเล
เป็นนิมิตแสดงให้เห็นว่าปีนั้นจะทำประมงได้ผลดี จากนั้นจึงมีการแข่งขันชนควายเรื่อยมาทุกปีเพื่อความเป็นสิริมงคล
ก่อนถึงวันแข่งขัน
ชาวบ้านจะเลือกเฟ้นควายที่มีลักษณะดีร่างกายกำยำแข็งแรงมาฝึกฝนอย่างเข้มงวด
และมีการแข่งคัดเลือกหลายรอบก่อนจะเหลือ 16
ตัวสุดท้ายเข้าแข่งขันในวันเทศกาล ก่อนเริ่มการแข่งขันจะมีการแสดงระบำธงของหนุ่มสาวในท้องที่
จากนั้นจึงจะเป็นการแข่งชนควายที่ดุเด็ดเผ็ดมัน
ควายตัวใดหันหลังแล้ววิ่งหนีไปก่อนจะถือว่าแพ้ ส่วนตัวที่ชนะเลิศ
เจ้าของควายจะได้รับรางวัลมากมาย ก่อนที่ควายจะถูกเชือดเพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าแห่งน้ำและนำเนื้อควายมาลี้ยงฉลอง
ประเพณีบูชาจูด่งตื่อ
เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นช่วงปลายเดือนเมษายน
โดยมีศูนย์กลางที่วัดชุมชนดาฮว่า ใกล้กรุงฮานอย มีจุดประสงค์เพื่อบูชาจูด่งตื่อ
(Chu Dong Tu) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูกของเวียดนาม
วันงานชาวเวียดนามจะใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส มีขบวนการแห่เชิดมังกรตัวใหญ่ที่ต้องใช้คนนับสิบช่วยกันเชิด
มีการร้องรำทำเพลงทั้งตามถนนและบนเรือในแม่น้ำแดง
ชาวเวียดนามจะตักน้ำจากในแม่น้ำนั้นเพื่อนำไปชะล้างทำความสะอาดรูปเคารพในวัดอีกด้วย
เทศกาลจั่วเฮือง
ทุกๆปี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวนับแสนคนจะเดินทางไปเฉลิมฉลองช่วงปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติที่จั่วเฮือง
หรือเจดีย์น้ำหอม ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเฮืองติ้จ
จุดเด่นของเทศกาลนี้ไม่ใช่การร้องรำ หรือการละเล่นพื้นบ้าน
แต่เป็นการเดินทางจาริกแสวงบุญ เยี่ยมชมธรรมชาติ อาราม และเจดีย์
นับร้อยระหว่างเส้นทางสู่จั่วเฮืองเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เทศกาลนี้มีระยะเวลาถึง 3 เดือน
ถือเป็นเทศกาลที่ยาวนานที่สุดของเวียดนามและได้รับการยอมรับจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกด้วย
เทศกาลจั่วเถ่ย
เป็นเทศกาลทางศาสนาพุทธที่จัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน
ในบริเวณใกล้เคียงกับจั่วเถ่ย (Chua thay)
หรือวัดเถ่ย ซึ่งอยู่ใกล้กับภูเขาส่านเซิน เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงด่าวแห่ญ
พระสงฆ์ที่ชาวเวียดนามเลื่อมใสมาก
เนื่องจากท่านมีชื่อเสียงในด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
และเป็นผู้ริเริ่มการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ
ซึ่งเป็นจุดเด่นของเทศกาลนี้มาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงเวลานี้ ชาวเวียดนามจะเดินทางมาที่จั่วเถ่ยเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ดูการแสดงหุ่นกระบอกและเที่ยวชมภูเขาส่ายเซิน
เทศกาลชมจันทร์
เทศกาลชมจันทร์
หรือ อ๊อกออมบก (Oc Om Boc) เป็นวันหยุดในวันเพ็ญเดือน10 ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งเริ่มเข้าฤดูแล้ง
ชาวเวียดนามในชุมชนต่างๆจะรวมตัวกันที่ลานหน้าเจดีย์ วางผลไม้ต่างๆและขนมบนโต๊ะไว้เป็นของบูชา
ตกแต่งด้วยลำไม่ไผ่ยาวประดับดอกไม้ใบไม้ เมื่อถึงเวลาพระจันทร์ขึ้น
ชาวเวียดนามจะนั่งบนพื้น สวดมนต์ขอพรดวงจันทร์ให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
หลังพิธีการจะมีการถามตอบ และให้พรเด็กๆ รวมถึงร้องรำฉลองจนถึงเวลาดึกดื่น
เทศกาลโบหม่า
เทศกาลโบหม่า (Bo
Mai) เป็นเทศกาลของกลุ่มชาติพันธุ์เวียดนามในเขตที่ราบสูงตอนกลางประเทศ
เช่น เอเด (E de) สาซาย (Gia Rai)
และบานา (Ba Na)
มีประเพณีการเคารพญาติพี่น้องที่เสียชีวิตต่างจากภูมิภาคอื่น
โดยจะคอยดูแลและกราบไหว้บูชาสุสาน ในช่วงเวลาสาม ห้าหรือเจ็ดปี
หลังจากผู้ตายจากไปเท่านั้น ในเทศกาลนี้จะเฉลิมฉลองใหญ่โตถึงขั้นล้มวัวหลายตัว
มีสุราอาหารครบ มีธรรมเนียมทำลายสุสานเก่าและสร้างขึ้นใหม่ ตามความเชื่อว่าเป็นการปลดปล่อยวิญญาณผู้ตายให้ได้ไปเกิดขึ้นใหม่
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าหากผ่านธรรมเนียมนี้ไปแล้ว
สามีหรือภรรยาของผู้ตายจะสามารถแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่อีกด้วย
งานแข่งช้าง
เป็นเทศกาลสำคัญในแถบที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนามจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
เพื่อระลึกถึงประวัติศาสตร์การสู้รบกับชนกลุ่มน้อยในพื้นที่นี้
ในช่วงงานจะมีการให้ช้างพักงานปกติเพื่อเตรียมตัวเข้าแข่งขันในสนามแข่งใกล้หมู่บ้าน
บวนโดน (Buon
Don) สนามแข่งกว้างขวางพอให้ช้าง 10 เชือก
เดินเรียงกันได้
และมีความยาวเวียดนามในท้องถิ่นจะสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสมาร่วมชมการแข่งขัน
และมีการฉลองยิ่งใหญ่ให้แก่ทั้งคนและช้างผู้ชนะ
เทศกาลโก่ลวา
จัดขึ้นทุกปีในช่วงหลังเทศกาลเต๊ดเวียนด๋าน
(Tet
Nguyen Dan) โดยมีจุดประสงค์เป็นการบูชาอานเซืองเวือง
กษัตริย์ในตำนานของเวียดนาม ผู้พ่ายแพ้ในการศึกเพราะถูกพระธิดาทรยศ
ในเทศกาลนี้ยังจะมีการแห่รูปปั้นของกษัตริย์อานเซืองเวีองพระธิดา
มีการตกแต่งวัดโก่ลวา ในกรุงฮานอยด้วยธงหลากสีที่เป็นสัญลักษณ์ของธาตุทั้ง5 ชนิดตามความเชื่อโบราณ (เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ และดิน)
มีการแสดงดนตรี งิ้ว
และแต่งองค์ทรงเครื่องม้าที่ใช้ในพิธีด้วยอานที่ตกแต่งอย่างงดงาม